ย้อนรอย “โภควิทยา”: จากวิกฤตเศรษฐกิจถึงเศรษฐกิจพระศรีอาริย์

people rally against poverty during the great depression

“โภควิทยา” เป็นบทความที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2474 และได้รับการตีพิมพ์ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ยังไม่พบว่ามีการเผยแพร่ในช่องทางอื่นอีก

จากคำนำหนังสือ ทำให้ทราบว่าเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ “โภคภัย” ไว้หลายชิ้น แต่ผู้ขอบทความได้เลือกเรื่องนี้  จึงอาจคาดหวังได้ว่าบทความชิ้นนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่โดดเด่นกว่าบทความที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตเศรษฐกิจชิ้นอื่นๆ ที่ได้เขียนไว้

คำนำหนังสือ

เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีกล่าวถึง  “ความตกต่ำแห่งโภคกิจ” หรือที่ทุกวันนี้เรารู้จักกันในนาม “the Great Depression” หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ที่เริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2472 และนับได้ว่าเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งแรกของยุคทุนนิยมที่ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก

การวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในบทความนี้ ทำให้ทราบว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมนักคิดของโลกร่วมสมัย ที่พยายามอธิบายจุดจบของการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอันเป็นแบบแผนของศตวรรษที่ 19 และการพังทลายของระบบเศรษฐกิจเสรีภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แนวคิดต่างๆ ที่นำเสนอ ล้วนได้สังเคราะห์จากองค์ความรู้ที่ทันสมัยของโลกในเวลานั้น และหลายเรื่องก็ยังคงทันสมัยจนถึงวันนี้

ความโดดเด่นของบทความนี้ ที่เหนือกว่าบทวิเคราะห์เศรษฐกิจของนักคิดทั่วๆ ไป คือความสามารถในการประยุกต์แนวคิดเชิงพุทธมาอธิบายสถานการณ์ของโลกได้อย่างกลมกลืน

วิกฤตเศรษฐกิจ: สาเหตุที่มา
ต้นเหตุของวิกฤตมาจากสองสาเหตุ คือ 1. Mass Production: สินค้าเหลือขายเพราะผลิตขึ้นมากมายก่ายกอง ในขณะที่ผู้คนไม่มีกำลังซื้อ และ 2. บ่าวกลับเป็นนาย: มนุษย์ตกเป็นทาสของเงินตรา และทองคำไหลไปกองอยู่ที่เดียวกันเป็นภูเขา

หนทางแก้ไข
ทางแก้ไขก็มีสองวิธีเช่นเดียวกัน คือ 1. แก้ไปตามอาการ และ 2. แก้ที่ต้นเหตุ
การแก้ไขตามอาการที่ได้ดำเนินการกันไปแล้วได้แก่ การผ่อนเวลาใช้หนี้ให้เยอรมนี การที่อังกฤษออกจากมาตรฐานทองคำ  การตัดลดงบประมาณกลาโหมเพื่อลดรายจ่ายของประเทศ ส่วนการแก้ที่ต้นเหตุ ที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเสนอ ก็คือไปแก้ไขสาเหตุของวิกฤตสองประการดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ ใช้ระบบโควต้าเพื่อแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศและควบคุมปริมาณการผลิต และให้นานาชาติมาร่วมกันสร้างระบบจัดการการเงินของโลก

วิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจ
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ โดยตัวของมันเองไม่ใช่ปัญหา กล่าวคือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยให้มนุษย์สามารถผลิตสินค้าต่างๆ ได้ เป็นการยกระดับมาตรฐานของการใช้ชีวิต ส่วนพัฒนาการทางเศรษฐกิจก็ทำให้มนุษย์พ้นจากภาวะที่มนุษย์เป็นทาสของมนุษย์ด้วยกันเอง และมีเครื่องมือทางการเงินเพื่อการค้าขายและกิจกรรมอื่นๆ ได้ดีขึ้น ดังนั้น จึงนับเป็นความก้าวหน้า เป็นเหตุอันควรยินดี วิกฤตที่เกิดขึ้นก็เป็นสัญญาณเตือนว่า มนุษย์จะต้องพัฒนาตนเองไปสู่ระดับถัดไป

ในอนาคต มนุษย์ควรจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสของเงินตรา ให้ทุกคนเข้าสู่บริการทางสังคมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีปัจจัยสี่สำหรับทุกคนอย่างเพียงพอ ประชาคมระหว่างประเทศก็ควรรวมกันโดยไม่ยึดพรมแดนประเทศ ไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง ไม่มีสงคราม ถึงแม้จะใช้เวลาอีกเนิ่นนานในวิวัฒนาการ แต่ก็เป็นสังคมที่พึงปรารถนา

“การพ้นจากการเป็นทาสแห่งกันและกัน ได้นำเราไปเป็นทาสแห่งเงินตรา เป็นการ “หนีเสือปะจระเข้” อยู่บ้างจริงอยู่ แต่เมื่อเราได้ก้าวขึ้นถึงขั้นสองสำเร็จ ปลดตัวเราจากความเป็นทาสแห่งเงินตรา โดยปลดเงินตราจากความเป็นแก้วสารพัดนึกทุกอย่างไปแล้ว ขั้นสองที่เราถึงนั้นก็จะแปลกอะไรกับโลกพระศรีอาริย์? เพราะจะได้มีการเลิกทาสอย่างแท้จริง คือพ้นจากนายมนุษย์ด้วย พ้นจากนายเงินตราด้วย เป็นอันกล่าวเต็มปากได้ว่า มนุษย์ได้อิสสรภาพเต็มที่. แม้เด็กอนาถาเกิดมาก็ได้รับการศึกษาให้เปล่า; คนไข้อนาถาก็ได้รับความรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเสียเงิน; คนไม่มีงานทำก็มีโรงงานหางานให้; คนไม่มีที่อยู่ก็มีเสนาสนะจัดไว้ให้อยู่; และแม้คนไม่มีจะกินก็มีโรงเลี้ยงอาหารให้อาหารอิ่มหนำสำราญได้ถ้วนทั่ว. ดั่งนี้ฟังราวกับความฝัน แต่ความฝันนี้จะต้องเป็นความจริงมาให้เห็นในไม่เร็วก็ช้า ตามเวลาของประวัติการ จะเป็นหนึ่งศตวรรษหรือหลายศตวรรษก็แล้วแต่ก้าวของมนุษย์จะช้าหรือเร็ว สั้นหรือยาว คือแล้วแต่ตัวเราเอง กับการกระทำของเราทั้งนั้น. ขอให้เราหวังว่า บรรพบุรุษของเรา ตลอดจนตัวเรา ได้ก้าวมาสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว  ขั้นต่อไปตกเป็นหน้าที่ของบุตรหลานเหลน และทายาทผู้สืบต่อเราในอนาคตกาลนั้นเทอญ”